Search This Blog

Sunday, April 25, 2010

องค์ประกอบย่อยของชีวิตในสังคม

ผมเดินทางไปกรุงเทพ เมืองหลวงที่ยิ่งกว่าคำว่า "วุ่นวาย" อากาศของกรุงเทพที่ร้อนระอุ เพราะไอแดดไม่ถูกดูดซับกลับสะท้อนขึ้นมาจากคอนกรีตหนา ปะทะกับบรรยากาศม่านหมอกควันจากท่อไอเสียเป็นเรือนกระจก สะท้อนกลับลงมาร้อนกว่าเดิม จนต้องคิดว่า ในกรุงเทพคือเตาอบ (มนุษย์)  แต่สำหรับตอนนี้ก็ยังไม่ร้อนเท่ากับอุณหภูมิของการเมืองที่ใกล้จะถึงจุดเดือดเต็มที  

เกริ่นมาพอแล้วครับ  ผมขับออกจากเตาอบมาชานเมืองมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ บนถนนสายวิภาวดี มาจนถึงรังสิต แวะเติมแก๊ส ราคาต้นทาง ลิตรละ 11.90 แต่ถ้าไปเติมที่ภูมิลำเนาเกิด ที่พิ โลก จะเป็นราคา 12.50 หักลบแล้ว ต่างกัน  60 สตางค์  เวลาเติมแก๊สจะต้องถอยตูดเข้าไป (ตูดรถครับ)  เพราะถังแก๊สส่วนมากจะติดตั้งไว้ที่ด้านท้ายของตัวรถ  ในกระเป๋ามีเงินอยู่ หนึ่งพันบาท กับผู้โดยสาร สองท่าน  คือลูกชายของผมเอง  เติมแก๊สเต็มถัง หกร้อยกว่าบาท จะเหลือเงินติดตัว 400 กว่าบาท กะว่าจ่ายค่าอาหารมื้อเย็น กาแฟซักถ้วย คงจะเหลือเงินไว้สำหรับไปทำงานวันพรุ่งนี้ได้บ้าง 

เหลือบไปเห็นแท็กซี่คันหนึ่ง ในจำนวนแท็กซี่อีกหลายๆ คันที่วิ่งไปวนมาเป็นธุระสาระวนกับกิจกรรมคนเสื้อแดง กำลังเติมแก๊ส ผมไม่ได้สังเกตุอะไรมากนัก แต่หันกลับไปอีกครั้งเค้าก็เติมแก็สเสร็จแล้ว  
             ผมสงสัยจึงถามคนขับรถแท็กซี่ว่า " เต็มแล้วเหรอ  เสร็จไวจัง"
             คนขับรถแท๊กซี่   "ครับ เติมร้อยเดียว"
            ผม  " ร้อยเดียวเองเหรอ แล้ววิ่งทั้งวันจะพอหรือ"
            คนขับแท็กซี่  "แค่นี้ก่อนครับ แล้วค่อยเติมใหม่" 
รถผมแก๊สเต็มพอดี ก็ควักแบงค์พันให้ ส่วนรถแท็กซี่คันนั้นออกไปเรียบร้อยแล้ว  ผมหันไปคุยกับเด็กปั๊มแก็ส แต่สูงอายุปาเข้าไปเกือบสี่สิบแล้ว เอ่ยว่า "อย่างนี้แหละ คนขับรถแท็กซี่เค้าจะเติมแค่ไปทำงาน ไปรับผู้โดยสาร ถ้าวิ่งไปแล้วเจอผู้โดยสาร ได้เงินมาจึงจะมาเติมแก๊สใหม่  ผมนึกย้อนกลับมาที่ตัวผมที่ยังพอมีเงินเหลือติดตัวและไม่ได้ไปทำงานหาเงินแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับอีกชีวิตหนึ่งที่ผมเจอมีเงินจำกัดที่จะใช้อย่างอื่นไม่ได้แต่ต้องเติมแก็สเพื่อหารายได้ในวันนั้น ให้พอค่าเช่า ให้พอค่าอาหาร ให้พอเหลือ อย่างน้อยก็หนึ่งร้อยบาทสำหรับเติมแก็สทำงานในวันต่อไป  ความรู้สึกสมเพทเวทนาอย่างจับใจ ย้อนกลับไปนึำกภาพที่สนทนากับคนขับรถแท็กซี่คนนั้น เขาพูดจาน้ำเสียงอ่อนแรง ยิ้มฝืดๆ แววตาหมดหวัง ขณะที่นึกภาพที่ผ่านมา ผมก็ปิดประตูรถและขับรถออกไป

มาได้ไกลพอสมควร ฉุกใจคิดว่า เงินทอนอยู่ที่ใหน  อ้าวผมลืมเอาเงินทองเสียแล้ว  นึกเสียดายอย่างมาก ช่างเป็นวันที่สดใสใจบุญเหลือเกินสำหรับผมที่จะมีเงินเหลือติดตัวกลับต่างจังหวัด ตั้ง สี่้ร้อยบาท แต่ก็ลืมเงินทอน  นึกเสียว่าช่วยเหลือเด็กปั๊มก็แล้วกัน แต่มานึกย้อนอีกครั้งถึงคนขับแท็กซีคราวใด ก็เสียดายที่เงินจำนวนนี้ถ้าจะบริจาคให้ใคร ก็ควรที่จะให้กับคนที่เขาขาดแคลน หรือต้องการมันอย่างมาก คือคนขับรถแท็กซี่ 

มาถึงตอนนี้ท่านคงจะพอนึกออกนะครับว่าระหว่างผม กับ คนขับรถแท็กซี่ เด็กปั๊ม ใครจะน่าสงสารมากกว่ากัน 

Friday, April 16, 2010

สาดน้ำวันสงกรานต์ปีขาล

ในอดีตชาวบ้านร่วมงานสงกรานต์ศูนย์กลางคือวัด และตามบ้านเรือนของประชาชน ปัจจุบันยังคงมีกิจกรรมที่วัด ก่อเจดีย์พระทราย ขนทรายเข้าวัด ผ้าป่า รดน้ำดำหัว ผู้สูงอายุ
ต่อมาเมื่อมีองค์กรปกครองท้องถิ่น ก็เ้ข้ามาร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานร่วมกับชุมชน จัดขบวนแห่ มีกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน ผมเดินทางร่วมงานจัดงานของเทศบาลเมืองกำแพงเพชร จัดงานบริเวณลำน้ำปิง น้ำใสสะอาด คราคร่ำด้วยผู้คนเนื่องจากบริเวณแม่น้ำปิงเป็นสถานที่เล่นน้ำ จึงต้องมีการออกตรวจความปลอดภัยในน่านน้ำตลอดเวลาด้วย  วันนี้ยังเป็นวันผู้สูงอายุอีกด้วย เพื่อให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของผู้สูงอายุที่อย่างน้อยได้สร้างสิ่งที่ดีไว้ และเยาวชนรุ่นหลังจะได้แสดงความกตัญญูและขอพรผู้ใหญ่เป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง  เสร็จพิธีแล้วผมเดินทางไปจังหวัดพิษณุโลกผ่านหมู่บ้านหลายหมู่บ้านมีวัยรุ่นสาดน้ำเล่นกันสนุกสนาน รื่นเริง ผิดกับสถานการณ์ของประเทศปัจจุบันที่มีความขัดแย้งทางการเมืองและวุ่นวายอยู่ในกลางเมืองหลวง